รัสเซียสมัยใหม่

การขับเคลี่อนรัสเซียสมัยใหม่



    หลังจากผ่านพ้นยุคสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ในสมัยของนายมิคาอิล กอร์บาชอฟ รัสเซียก็ก้าวเข้ามาในยุคประชาธิปไตยภายใต้การนำของนายบอริส เยลซิน ซึ่งในช่วงเปลี่ยนผ่านระบบการปกครองนั้น เกิดปัญหามากมาย ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง รวมทั้งการลดบทบาทและอิทธิพลของประเทศรัสเซียต่อประชาคมโลก 

ในช่วงสมัยของเยลซินเกิดปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง โดย สาเหตุจากนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจทำให้ทรัพยากรของประเทศและความร่ำรวยตกอยู่ในมือของคนเพียงไม่กี่คน ยิ่งไปกว่านั้นมีการฉ้อราษฎรบังหลวงมากมายเกิดขึ้นทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน กลุ่มมาเฟียและอิทธิพลมืดเข้าครอบคลุมสังคมไปทั่วทั้งรัสเซีย แต่หลังจากการลงจากตำแหน่งของนายบอริส เยลซิน และได้นายวลาดิมีร์ ปูตินเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแทน รัสเซียก็กลับขึ้นมามีอิทธิพลอีกครั้งและก้าวเข้ามาเป็นแข่งขันกับสหรัฐอเมริกาได้อย่างสมศักดิ์ศรี  นายวลาดิมีร์ ปูตินเป็นดังวีรบุรุษขี่ม้าขาวที่เข้ามาเปลี่ยนสภาพรัสเซียให้กลายเป็นรัสเซียใหม่ที่ผงาดขึ้นมามีบทบาทสำคัญในเวทีโลกอีกครั้ง และแก้ปัญหาเศรษฐกิจรวมทั้งปราบปรามกลุ่มอิทธิพลในรัสเซียในช่วงแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี 

การเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของนายวลาดิมีร์ ปูตินนั้นได้พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์รัสเซียใหม่ครั้ง ในการก้าวขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจหลังจากลดบทบาทลงในยุคของประธานาธิบดีเยลซิน ปูติน ได้รับชื่อเสียงว่าเป็นผู้นำพาเสถียรภาพทางการเมืองในระหว่างการดำรงตำแหน่งของเขาเศรษฐกิจรัสเซียเติบโตขึ้นต่อเนื่อง โดยจีดีพีเพิ่มขึ้น 72% ความยากจนลดลงมากกว่า 50% และค่าจ้างรายเดือนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 80 เป็น 640 ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งหมดเกิดจากการบริหารงาน ของชายผู้นี้ นายวลาดิมีร์ ปูติน 

ในส่วนของปัจจัยที่มีผลต่อการขับเคลื่อนรัสเซียสมัยใหม่นั้น ปัจจัยที่สำคัญของขับเคลื่อนรัสเซียยุคใหม่นั้นเกิดจากการบริหารงานของนายวลาดิมีร์ ปูตินในการนำอำนาจนิยมเข้ามาใช้ในการปกครอง ในช่วงที่ปูตินเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีบ้านเมือง สังคม และเศรษฐกิจเข้าสู่ขั้นวิกฤติ เกิดกลุ่มแบ่งแยกดินแดน และประเทศในเขต อิทธิพลต้องการแยกตัวออกจากรัสเซีย การที่ทำให้รัสเซียยังคงมีอิทธิพลนั้น ปูตินจำเป็นต้องรวมสังคมให้เป็นแผ่นดินเดียว การที่ใช้อำนาจนิยมนั้น ทำให้ปูตินสามารถรวมสังคมและแผ่นดินที่กว้างใหญ่ในรัสเซียให้เป็นหนึ่งเดียวได้ กอปรกับประเทศรัสเซียมีหลากหลายวัฒนธรรม และเชื้อชาติ การใช้การปกครองตามหลักประชาธิปไตยที่เป็นสากลทำให้ประชาชนหรือกลุ่มคนที่ต้องการแยกตัวออกจากรัสเซียมีมากขึ้นจนไม่สามารถควบคุมได้ อีกนัยหนึ่งคือการที่ปูตินต้องการรักษาอำนาจ และอิทธิพลของรัสเซียหากปูติน หากไม่สามารถควบคุมปัญหาภายในประเทศได้ เขาก็มิอาจรักษาอำนาจภายนอกประเทศได้เช่นกัน รัสเซียเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีทรัพยากรที่ทั่วโลกต้องการอยู่มาก มายและเป็นแหล่งที่สร้างเม็ดเงินจำนวนมหาศาลให้กับประเทศรัสเซีย เป็นไปได้ยากที่ปูตินจะปล่อยให้ทรัพยากรอันมีค่าหลุดมือไปโดยเกิดจากการแบ่งแยกดินแดน 

การหวนคืนอำนาจนิยมจึงเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนรัสเซียสมัยใหม่ การกลับมาของอำนาจนิยมนำมาซึ่งความเป็นชาตินิยม ซึ่งชาตินิยมของปูตินคือการต่อต้านอิทธิพลจากตะวันตกรวมทั้งสหรัฐอเมริกาไม่ให้เข้ามาเผยแพร่ในประเทศรัสเซียได้ การเผยแพร่ชาตินิยมจึงเป็นอีกส่วนที่สำคัญที่ให้ปูตินรักษาอำนาจเอาไว้ได้คือการสกัดกั้นแนวคิดแบบตะวันตกนั่นก็คือเสรีภาพแม้ว่ารัสเซียจะเป็นประชาธิปไตยแล้วแต่เสรีภาพยังคงถูกปิดกั้นหากเทียบกับประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ เสรีภาพทางสื่อบางอย่างยังคงถูกปิดกั้นและอีกหลายๆประการที่ยังถูกเซนเซอร์เอาไว้ นั่นเป็นเพราะปูตินเองต้องการรักษาอำนาจของตนเอาไว้ เขาต้องการให้คนคิดตาม มิใช่คิดต่างชาตินิยมจึงถูกนำมาใช้ควบคู่กับอำนาจนิยม เพราะจะทำให้ประชาชนไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกลิดรอนเสรีภาพ 

ปัจจัยที่สำคัญอีกประการ เป็นตัวสร้างความชอบธรรมให้อำนาจ นิยมของปูติน นั่นก็คือศาสนา ศาสนาเป็นอีกตัวแปรที่ปูตินนำมาใช้ในการชักจูงสังคมให้คล้อยตามในสิ่งที่เขาทำ เนื่องจากประเทศรัสเซีย ศาสนาคริสต์นิกายออธอดอกซ์ถือว่าได้ฟังรากลึกลงไปในประเทศรัสเซียในระดับจิตวิญญาณ เป็นเหมือนแหล่งยึดเหนี่ยวของประชาชน รวมทั้งประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับวิถีชีวิตผู้คนในประเทศรัสเซีย ดังนั้นปูตินจึงใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือที่จะครอบงำประชาชน และสร้างความศรัทธาในตัวผู้นำหรือตัวปูตินเอง รวมทั้งใช้กฎศาสนาเป็นเครื่องมือควบคุมประชากร ซึ่งมันมีอิทธิพลอย่างมากที่จะทำให้ประชาชนไม่ตั้งคำถามต่อสิ่งที่เขาทำ มันทำให้ประชาชนเป็นไปในแบบที่ปูตินต้องการ ไม่แตกแถวและอยู่ในโอวาทและเป็นไปในทิศทางที่วางเอาไว้

เพราะฉะนั้นในทางสังคมปูตินใช้อำนาจนิยมในการรวมอำนาจทั้งหมดมาอยู่ในมือของเขาและใช้ประชาธิปไตยในการสร้างธรรมชอบธรรมและสร้างความชอบธรรมทางกฎหมายให้กับตัวเอง และนำอำนาจ นิยมกลับมาเพื่อเป็นหลักประกันว่าอำนาจจะยังคงอยู่กับเขา โดยการเผยแพร่ชาตินิยมของรัสเซียเพื่อต่อต้านสิ่งใดๆก็ตามที่มาจากตะวันตกเพื่อเป็นการยืนยันว่าอำนาจในตัวปูตินจะไม่สั่นคลอน เขาจึงใช้ศาสนาเป็นตัวสร้างศรัทธาของประชาชนที่มีในตัวเขาและเป็นตัวเสริมอำนาจ นิยมของปูตินให้เข้มแข็ง 

หลังจากที่ปูตินสร้างความเข้มแข็งให้กับอำนาจตัวเองดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว มันเป็นเรื่องที่ง่ายที่ปูตินจะสามารถขับเคลื่อนประเทศไปในทิศทางที่เขาต้องการ เขาสามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศและกลับมามีอิทธิพลอีกครั้งโดยที่อำนาจทั้งหมดยังคงอยู่ที่ตัวเขา แม้มีบางคนที่คิดจะต่อต้านหรือตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์แต่นั่นก็มิอาจสั่นคลอนในบัลลังค์ของปูตินได้ ปูตินสร้างฐานอำนาจของตัวเองมาตั้งแต่ยังคงเป็น เคจีบี และสร้างอำนาจของตัวเองมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน ปูตินจัดการทุกคนที่คิดจะต่อต้านและสั่นคลอนอำนาจของเขา แม้ลมปากเดียวมิอาจสั่นคลอนภูเขาได้ แต่ถ้าหากลมปากเดียวแปรเปลี่ยนเป็นกระแสลม และกลายเป็นพายุที่โหมกระหน่ำภูเขาอย่างปูติน คิดว่าปูตินเองควรจะจัดการผู้ที่ทำให้เกิดต้นลมเสียก่อน การที่ปูตินเข้าควบคุมปัญหาภายในประเทศได้แล้ว ต่อจากนี้เขาต้องเข้าควบคุมประเทศที่อยู่ในเขตอิทธิพล โดยเฉพาะกับประเทศพี่ประเทศน้องอย่างยูเครนที่ 2-3 ปีที่ผ่านเริ่มหันไปให้ความสำคัญกับประเทศตะวันตก ยูเครนถือว่าเป็นประเทศที่เป็นเมืองหน้าด่านของรัสเซีย เป็นผลประโยชน์สำคัญที่รัสเซียไม่สามารถเสียไปได้ และเป็นประเทศที่ตะวันตกหมายตาเอาไว้ จึงทำเกิดวิกฤติการณ์ยูเครนในปัจจุบัน หรือกระทั้งในอดีตอย่างเหตุการณ์กบฎเชเชน รัสเซียหรือปูตินต้องเข้าจัดการถือเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ประเทศรัสเซียเองไม่ยอมเสียประโยชน์ไปแม้แต่ครั้งเดียว 

การขับเคลื่อนรัสเซียสมัยใหม่ภายใต้การนำของปูตินนั้นต้องขับเคลื่อนไปพร้อมๆระหว่างอำนาจของปูตินเองและอิทธิพลของรัสเซียต่อการเมืองโลกยิ่งประเทศรัสเซียก้าวไปข้างหน้ามากเท่าไหร่นั่นหมายถึงอิทธิพลของปูตินเองก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันถือเป็นการขับเคลื่อนสังคมรัสเซียไปสู่รัสเซียใหม่ที่จะไม่หวนกลับมาสู่ความขมขื่นในอดีตที่ผ่านมาอีก 

นอกจากนั้นแล้วความเป็นรัสเซียใหม่ที่เกิดขึ้นมาในยุคนี้จะขาดไม่ได้เลย คือ New rich ถือเป็นสัญลักษณ์ที่เกิดมาพร้อมกับสังคมรัสเซียยุคใหม่ด้วยเช่นกัน New rich (เศรษฐีใหม่) ที่เกิดในยุคประชาธิปไตยกำลังผลิบานนั้น เกิดขึ้นเมื่อการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในสมัยรัฐบาลเยลซิน และยังถือว่าเป็นคนหนุนหลังและให้เงินสนับสนุนรัฐบาลอีกด้วย ในยุคนี้แน่นอนว่าการเข้ามามีอำนาจที่เข้มแข็ง จะต้องมีนายทุนที่ดี ที่จะเอื้อประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจซึ่งกันและกันอีกด้วย 

New rich ในสมัยแรกเกิดขึ้นจากนโยบายกลาสนอส-เปเรสตรอยก้า ของนายอิคาอิล กอร์บาชอฟ จวบจนมาถึงสมัยของนายบอริส เยลซิน จากนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ New rich ถือว่ามีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจของรัสเซียเป็นอย่างมากเพราะส่วนใหญ่แล้วกิจการที่เศรษฐีใหม่ครอบครองอยู่จะเป็นทรัพยากรของประเทศ อาทิ เช่น น้ำมัน เหมืองแร่ รวมทั้งเป็นเจ้าของสื่อ อย่างโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และธนาคาร ทำให้เศรษฐีใหม่ที่เกิดขึ้นนั้นมีอำนาจในการต่อรองกับรัฐบาลมาก รวมทั้งความมั่งคั่งของรัสเซียหยุดอยู่กับเพียงกลุ่มคนที่สามารถฉกฉวยโอกาสจากนโยบายดังกล่าวได้ ไม่กระจายไปยังประชาชนคนชั้นกลางและคนยากจน 

แต่ New rich ก็เป็นอีกส่วนในการขับเคลื่อนรัสเซียใหม่ อีกประการ New rich อาจหมายความถึงความมั่งคั่งของประเทศ อาจเป็นหน้าตาของประเทศรัสเซียที่ก้าวเข้าสู่ความทันสมัย ประชาชนกินดีอยู่ดี แม้มีประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังคงลำบาก อีกนัย ข้าพเจ้ามองว่า New rich ในรัสเซียเป็นสัญลักษณ์ของทุนนิยมที่มีเข้ามามีบทบาทในรัสเซีย หรือแม้กระทั่งทั่วทั่งโลก รัสเซียใหม่กำลังก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในประเทศที่พัฒนาไปสู่ความเป็นชุมชนเดียวกันทั่งโลก ปูตินเองก็ใช้ New rich เป็นฐานอำนาจทางการเมือง เป็นหน่อยสนับสนุนให้เขาสามารถบริหารงานและสร้างอิทธิพลให้แก่ตัวเองเพิ่มขึ้น โดยปูตินวางเครือข่ายพวกพ้องตัวเองให้เข้าครอบครองกิจการส่วนสำคัญของประเทศเป็นการสร้างฐานตำแหน่งของตนให้มั่นคง

 สัญลักษณ์อีกอีกประการที่แสดงความเป็นรัสเซียสมัยใหม่ คือการกลืนกินวัฒนธรรม เมื่อโลกเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ ไม่อาจปฏิเสธได้เลยกับการเผยแพร่วัฒนธรรมที่ทั่วทังโลกกำลังเผชิญ วัฒนธรรมที่เข้มแข็งกว่ากำลังเข้ากลืนกินวัฒนธรรมที่อ่อนแอกว่า และอาจถูกกลืนกินเป็นวัฒนธรรมเดียว อาทิ วัฒนธรรมจีน และวัฒนธรรมของมุสลิม (ศาสนาอิสลาม) ประเทศรัสเซียเองก็กำลังเผชิญหน้ากับการถูกกลืนวัฒนธรรมจากอิสลามและวัฒนธรรมจีน จากประเทศพื้นบ้านข้างเคียงที่เผยแพร่วัฒนธรรมเข้ามาในรัสเซีย แต่ข้าพเจ้าการกลืนกินวัฒนธรรมยังส่งผลกระทบไม่มากนักกับวัฒนธรรมหลักของประเทศรัสเซีย เนื่องจากการดำเนินนโยบายชาตินิยมของปูติน รวมทั้งการใช้ศาสนาคริสต์ออธอด็อกซ์มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง แต่ปัญหาการกลืนกินวัฒนธรรมเป็นปัญหาหนึ่งของรัสเซียที่ไม่อาจมองข้าม เพราะยังมีการเคลื่อนไหวใต้ดินของกลุ่มคนละเชื้อชาติที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน และข้อเรียกร้องต่างๆที่ปูตินจำเป็นต้องสนใจ 

กล่าวโดยสรุปแล้ว อำนาจนิยมที่เข้ามาในยุคของปูตินนั้นเป็นส่วนที่มีความสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนรัสเซียสมัยใหม่ ข้าพเจ้ามองว่าปูตินใช้อำนาจในการจัดการกับหลายสิ่งหลายอย่าง ทั้งภายในและภายนอกประเทศ รวมถึงใช้ศาสนาเป็นตัวสร้างความชอบทำให้กับการบริหารงานของตน อีกทั้งได้แรงสนับสนุนจาก New rich ทำให้ปูตินมีความเข้มแข็งมากขึ้นด้วย 

ดังนั้น ปัจจัยที่ขับเคลื่อนรัสเซียสมัยได้ดีที่สุดคือ ตัวผู้นำ นั่นก็คือคนที่มีบทบาททางสังคมให้ไปในทิศทางที่ควรจะเป็น ส่วนปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดคือเครื่องมือที่สร้างสังคมรัสเซียสมัยขึ้นมา โดยอำนาจนิยมเป็นแม่บทหรือสมองในการกำหนดสังคมรัสเซียตามแต่ผู้นำจะพิจารณา ส่วนศาสนาเป็นเหมือนแขนที่คอยชักจูงประชาชนให้หันหน้าไปตามทิศทางที่กำหนดแม่ ส่วน New rich เป็นเหมือนขา ที่เป็นฐานรองรับทั้งสองสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น อำนาจนิยมเป็นผู้สั่งการ ควบคุมและบังคับให้สังคมต้องหันตามสิ่งที่กำหนดมาไว้ตั้งแต่ต้น ซึ่งอำนาจนิยมก็คือปูตินนั่นเอง ส่วนการกลืนกินวัฒนธรรมเป็นปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบเข้ามายังในรัสเซีย ทำให้รัสเซียมิอาจเดินไปตามทิศทางที่วางไว้ตั้งแต่ต้น ต้องคอยเฝ้าระวังไม่ให้อิทธิพลจากภายนอกเข้ามาเปลี่ยนรัสเซียมากเกินกว่าที่ได้กำหนดไว้ 


           Lalita Ruatrew, Article analyst

            

BACHELOR OF ARTS B.A, RUSSIAN STUDIES 2013-2016 THAMMASAT UNIVERSITY BANGKOK (GPA: 3.68) 

I GOT SCHOLARSHIP OF THAMMASAT U. (UNIVERSITY MOBILITY IN ASIA AND THE PACIFIC: UMAP) I WAS EXCHANGE STUDENT IN SAINT PETERSBURG STATE UNIVERSITY, RUSSIA. FEBRUARY 24-JUNE 23, 2015 

MASTER’S PROGRAMME IN POLITICS AND GOVERNANCE NATIONAL RESEARCH UNIVERSITY HIGHER SCHOOL OF ECONOMICS (HSE), ST. PETERSBURG 2017-2018 

E-mail: newyork.mcc@hotmail.com, WhatsApp: +79679794769, line: newyork1415 


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประวัติความสัมพันธ์ไทย-รัสเซีย อดีต ปัจจุบัน อนาคต
 (ตอนที่ 2)

การค้าสินค้าเกษตรในประชาคมรัฐเอกราช (CIS)

วิกฤตการณ์ทางการเมืองในปี ค.ศ. 1993 (ตอนที่ 1)